คำพิพากษาศาลฎีกา กรณีโกงเจ้าหนี้ |
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4225/2559
|
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเสนอขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยแจ้งว่าเป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิการครอบครองและรับรองว่าสามารถจดทะเบียนโอนให้โจทก์ได้ แต่เนื่องจากที่ดินติดจำนองธนาคาร จำเลยจะนำเงินที่ได้จากโจทก์ไปไถ่ถอนจำนองมาจดทะเบียนโอนให้โจทก์ภายในเดือนเมษายน 2555 ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2555 โจทก์ตรวจสอบพบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน ส.ป.ก. 4 - 01 โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบเรื่องที่ถูกหลอกว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน ส.ป.ก. 4 - 01 มิใช่ที่ดินมีเอกสารสิทธิที่จะสามารถโอนให้กันได้ในวันที่ 1 มิถุนายน 2555 เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2557 เกิน 3 เดือน นับแต่โจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีจึงขาดอายุความ กรณีถือไม่ได้ว่าโจทก์เพิ่งทราบเรื่องความผิดฐานฉ้อโกงในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับรองว่าจะไม่จำหน่าย จำนำ หรือก่อภาระผูกพัน ในที่ดินพิพาทให้กระทบสิทธิของโจทก์เพราะเป็นการตกลงกันภายหลัง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2555 มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง การที่จำเลยนำ ส.ป.ก. 4 - 01 ไปถ่ายสำเนาแล้วลบชื่อบิดาจำเลยผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เดิมและเปลี่ยนเป็นชื่อจำเลย แล้วจำเลยนำไปขายให้แก่ น. และ จ. ทั้งที่จำเลยรับกับโจทก์แล้วว่าจะไม่จำหน่าย จำนำ หรือก่อภาระผูกพัน ในที่ดินพิพาท เห็นว่า ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมยังเป็นของรัฐเพียงแต่รัฐนำที่ดินมาจัดสรรให้ประชาชนครอบครองทำกินเท่านั้น การกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่ก่อให้ น. และ จ. มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาท แม้จำเลยรับรองต่อโจทก์ว่าจะไม่จำหน่าย จำนำ หรือก่อภาระผูกพันในที่ดินพิพาท โจทก์ก็มิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการที่จำเลยปลอมและใช้เอกสารปลอม แม้จำเลยมีภาระผูกพันที่ต้องชำระเงินค่าที่ดินคืนแก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ แต่การที่จำเลยโอนที่ดินพิพาทซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้แก่ น. และ จ. ซึ่งที่ดินพิพาทไม่ใช่ของจำเลยหรือของบิดาจำเลย จึงมิใช่การโอนไปซึ่งทรัพย์สินตาม ป.อ. มาตรา 350 ไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3120/2559 |
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินรวม 15 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสัญญาที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ต้องไปทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง และเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ยังมิได้ชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือ 8,500,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 สิทธิเรียกร้องที่จะให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินรวม 15 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาจะซื้อจะขายยังมิอาจบังคับกันได้ โจทก์ยังไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ตามความหมายในบทบัญญัติของ ป.อ. มาตรา 350 การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่โอนที่ดิน 3 แปลงใน 15 แปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10570/2558 |
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันแจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจดข้อความอันเป็นเท็จโดยยื่นแบบนำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุดจำนวน 1 ฉบับ และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นฉบับใหม่จำนวน 1 ฉบับ โดยมีข้อความระบุไว้ว่าหุ้นที่ได้จดทะเบียนไว้ของจำเลยที่ 1 จำนวน 100,000,000 บาท จำเลยทั้งสองได้เรียกชำระเงินไปจากผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนครบถ้วนเต็มจำนวน ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองยังมิได้เรียกชำระเงินค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนค้างชำระอยู่อีก 49,500,000 บาท อาจทำให้โจทก์หรือประชาชนได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต้องพบอุปสรรคในการที่จะใช้สิทธิบังคับชำระหนี้หรือบังคับคดีเอาแก่สิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นค้างชำระของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1096 โจทก์จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง ย่อมเป็นผู้เสียหายในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137 และมาตรา 267 การที่จำเลยทั้งสองยื่นแบบนำส่งงบการเงินและบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นอันแสดงให้ปรากฏว่าผู้ถือหุ้นในบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วนแล้ว อันเป็นความเท็จ ส่งผลให้เห็นในทำนองว่าจำเลยที่ 1 ได้รับชำระค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นนั้นครบถ้วนแล้วและสิ้นสิทธิในการเรียกให้ผู้ถือหุ้นส่งใช้ค่าหุ้นซึ่งยังจะต้องส่งอีก ทั้งๆ ที่จำเลยที่ 1 จะต้องได้รับเงินค่าหุ้นจากผู้ถือหุ้นทั้งเจ็ดคนในส่วนที่ยังมิได้ชำระค่าหุ้นครบถ้วน จึงเป็นการซ่อนเร้นสิทธิเรียกร้องในเงินค่าหุ้นที่ยังมิได้ชำระ เพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของตนซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 350 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตาม
พ.ร.บ.กำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ.2499 มาตรา 40 (1) ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8782/2558 |
ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) บัญญัติว่า "ผู้เสียหาย หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง ..." ซึ่งบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดดังกล่าวต้องพิจารณาในขณะที่ความผิดเกิดขึ้นว่า บุคคลนั้นได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดนั้นหรือไม่ อีกทั้งสิทธิของการเป็นผู้เสียหายเป็นสิทธิเฉพาะตัว และไม่อาจโอนสิทธิความเป็นผู้เสียหายไปยังบุคคลอื่นได้ สิทธิในการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาจึงต้องพิจารณาในขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แม้ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์โอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาในคดีแพ่งให้แก่บริษัท บ. แล้วก็ตาม แต่วันที่จำเลยกระทำความผิดโจทก์ยังเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว เมื่อจำเลยโอนขายที่ดินของจำเลยให้แก่ น. เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน โจทก์จึงเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ของจำเลย โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 350 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โจทก์และจำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ 4469/2544 ของศาลแพ่ง ระหว่างบริษัท ร. โจทก์ กับนาง น. ที่ 1 นาย ว. ที่ 2 นาย อ. ที่ 3 จำเลยที่พิพากษาให้จำเลยซึ่งเป็นจำเลยที่ 3 ในคดีดังกล่าวกับพวกร่วมกันชำระเงิน 148,472,881 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี และเบี้ยปรับอัตราร้อยละ 1 ต่อปี ของต้นเงิน 140,000,000 บาท นับแต่วันที่ 17 กันยายน 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2550 จำเลยจดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดที่ดิน ให้แก่นาง น. ต่อมาวันที่ 19 ธันวาคม 2554 โจทก์โอนสิทธิเรียกร้องเรียกร้องตามคำพิพากษาคดีดังกล่าวให้แก่บริษัท บ.
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การพิจารณาอำนาจฟ้องของโจทก์จะต้องพิจารณาในขณะยื่นฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่โอนที่ดินให้แก่นาง น. หรือไม่ มิใช่พิจารณาข้อเท็จจริงในขณะเกิดเหตุเพราะขณะยื่นฟ้องโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้ของจำเลยและไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ จากการกระทำของจำเลยอีกนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) บัญญัติว่า "ผู้เสียหาย หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง...." จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ว่าบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่งต้องพิจารณาในขณะที่ความผิดเกิดขึ้นว่า บุคคลนั้นได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดนั้นหรือไม่ อีกทั้งสิทธิของการเป็นผู้เสียหายเป็นสิทธิเฉพาะตัว และไม่อาจโอนสิทธิความเป็นผู้เสียหายไปยังบุคคลอื่นได้ ดังนี้ สิทธิในการเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาจึงต้องพิจารณาในขณะที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น แม้ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์โอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 4469/2544 ของศาลแพ่ง ให้แก่บริษัท บ. แล้วก็ตาม แต่เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยกระทำความผิด โจทก์ยังเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว เมื่อจำเลยโอนขายที่ดินของจำเลย ให้แก่นาง น. เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน โจทก์จึงเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ของจำเลย โจทก์ย่อมอยู่ในฐานะผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4196/2558 |
ทรัพย์ที่ลูกหนี้โอนไปให้ผู้อื่น อันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 นั้น หมายถึงทรัพย์ใด ๆ ของลูกหนี้ที่มีอยู่ได้มีการโอนไป ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับองค์การคลังสินค้า 2 ฉบับ ฉบับแรกว่าจ้างให้จำเลยที่ 1 แปรสภาพหัวมันสำปะหลังสดจากเกษตรกรที่นำมาจำนำแก่องค์การคลังสินค้าเป็นแป้งมันสำปะหลัง ฉบับที่สองเป็นสัญญาเก็บแป้งมันสำปะหลังที่คลังสินค้าของจำเลยที่ 1 โดยองค์การคลังสินค้าเป็นผู้ส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นสัญญาฝากทรัพย์ ดังนั้นแป้งมันสำปะหลังที่จำเลยที่ 1 แปรสภาพแล้วเก็บไว้ในคลังสินค้าของจำเลยที่ 1 จึงเป็นกรรมสิทธิ์ขององค์การคลังสินค้าหาใช่เป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ไม่ ทั้งองค์การคลังสินค้าได้ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้อหายักยอก แม้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จะร่วมกันนำเอาแป้งมันสำปะหลังที่เก็บไว้ที่คลังสินค้าของจำเลยที่ 1 ไปขาย ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ทั้งแป้งมันสำปะหลังที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกันนำไปขายก็มิใช่ทรัพย์ที่ถูกยึดหรืออายัด การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จึงไม่ใช่การทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสียหรือสูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ถูกยึดหรืออายัด เพื่อจะมิให้การเป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล จึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 187
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14025/2557 |
การที่จำเลยที่ 2 รับโอนใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรและใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปจากจำเลยที่ 1 มาเป็นของตน ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนามิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ยึดใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปและใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักร ซึ่งเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของจำเลยที่ 1 มาบังคับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกโกงเจ้าหนี้ โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 350 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ระหว่างการพิจารณา จำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ประกอบมาตรา 83 จำคุก 4 เดือน จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติตามที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 กับนาย ป. นาย ม. กับโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนาย ป. ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 867/2550 และ 888/2550 ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2550 นาย ก. ผู้แทนโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 867/2550 ไปที่บ้านเลขที่ 32 หมู่ 5 ตำบลสามเรือน อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เพื่อยึดทรัพย์ของนาย ป. ต่อมาวันที่ 12 กันยายน 2550 จำเลยที่ 2 ยื่นคำขอทำการแปรรูปไม้ ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ ตั้งโรงค้าไม้แปรรูป ต่อสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดราชบุรี เพื่อรับโอนใบอนุญาตและกิจการโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้รับใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2550 และได้รับใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรในวันที่ 27 ธันวาคม 2550 เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 นาย ก. ผู้แทนโจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 2326/2550 ไปที่หมู่ 5 ตำบลสามเรือน อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เพื่อนำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 พบนาง อ. ภริยาจำเลยที่ 2 นำหนังสือรับโอนใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปและใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรมาแสดงว่าทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในโรงงานเป็นของจำเลยที่ 2 แล้ว นาย ก. และเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงไม่สามารถยึดเครื่องจักรและทรัพย์สินในโรงงานได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ขณะที่จำเลยที่ 2 รับโอนใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรและใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ทราบหรือไม่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เห็นว่า โจทก์มีนาย ก. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความถึงข้อเท็จจริงส่วนนี้ว่า ระหว่างที่พยานในฐานะผู้แทนโจทก์ไปนำยึดทรัพย์ของนาย ป. ที่หมู่ 5 พบจำเลยที่ 2 ทราบว่าพยานไปยึดทรัพย์ของนาย ป. และจำเลยที่ 2 ทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยไม่ปรากฏว่าพยานเคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัย ประกอบกับข้อเท็จจริงดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ระบุว่า เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2550 นาย ก. นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปที่บ้านของนาย ป. พบจำเลยที่ 2 แจ้งว่าเป็นบุตรของนาย ป. และยืนยันว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของนาย ป. เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงยึดทรัพย์สินของนาย ป. ไปบางส่วน ทั้งจำเลยที่ 2 เองก็เบิกความเจือสมว่า ก่อนที่จำเลยที่ 1 โอนใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้ให้ บิดาและมารดามีหนี้สินหลายรายทั้งนอกระบบและที่ถูกฟ้องเป็นคดีความ และจำเลยที่ 1 ได้นำเครื่องจักรในโรงงานแปรรูปไม้ไปตีใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบมาว่า ในวันที่ 10 สิงหาคม 2550 จำเลยที่ 2 ทราบแล้วว่านาย ป. มีหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ และได้ความตามรายงานเจ้าพนักงานบังคับคดีกับสำเนาใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปและใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรว่า บ้านหมู่ 5 ที่นาย ก. นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เป็นที่ตั้งโรงงานแปรรูปไม้ของจำเลยที่ 1 ขณะที่บ้านอีกหลังหนึ่ง ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์เป็นบ้านของนาย ป. ส่วนจำเลยที่ 2 อยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง โดยนาย ก. เบิกความตอบทนายความจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า บ้านของนาง อ. ภริยาจำเลยที่ 2 อยู่ห่างจากบ้านของจำเลยที่ 1 เพียง 4 ถึง 5 ก้าวเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า บ้านของจำเลยที่ 2 อยู่ใกล้กับบ้านของนาย ป. และโรงงานแปรรูปไม้ของจำเลยที่ 1 มาก น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ย่อมต้องทราบถึงสถานะทางการเงินของนาย ป. และจำเลยที่ 1 ดังที่จำเลยที่ 2 เบิกความยอมรับ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ขณะที่จำเลยที่ 2 รับโอนใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรและใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ทราบดีว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหลายรายรวมทั้งโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ยังรับโอนใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรและใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปจากจำเลยที่ 1 มาเป็นของตน ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ยึดใบอนุญาตตั้งโรงค้าไม้แปรรูปและใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักร ซึ่งเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งของจำเลยที่ 1 มาบังคับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกับพวกโกงเจ้าหนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกฟ้องมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12250/2557 |
โจทก์ร่วมกับจำเลยจดทะเบียนสมรสที่ประเทศออสเตรเลีย และลงทุนทำไร่องุ่น ต่อมาจำเลยย้ายกลับมาอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้หย่าขาดกับโจทก์ร่วม เงินค่าชดเชยที่รัฐบาลออสเตรเลียจ่ายให้แก่โจทก์ร่วมและจำเลยกรณีเลิกทำไร่องุ่น เป็นเงินที่ได้มาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรส การที่โจทก์ร่วมส่งเงินชดเชยมาให้แก่จำเลย แล้วจำเลยนำเงินดังกล่าวไปซื้อทรัพย์พิพาท แม้มีการจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ทรัพย์พิพาทยังคงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลย ต่อมาโจทก์ฟ้องหย่าจำเลยขอแบ่งสินสมรสและขอใช้อำนาจปกครองบุตรที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น ขณะคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่น จำเลยจดทะเบียนขายฝากทรัพย์พิพาทไว้แก่พันตำรวจเอก ม. จึงมิใช่การทำสัญญาในลักษณะปกติ แม้คดียังมีข้อโต้เถียงกรรมสิทธิ์และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่นก็ตาม ถือว่าโจทก์ (โจทก์ร่วมในคดีนี้) อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีอำนาจจะฟ้องจำเลยแล้ว จึงเข้าองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลย โจทก์ร่วมกับจำเลยจึงเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์พิพาท การที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่พันตำรวจเอก ม. โดยโจทก์ร่วมไม่ทราบและไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วมก่อน และไม่ไถ่ถอนคืนภายในกำหนดเช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์พิพาทไปเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก อีกบทหนึ่งด้วย การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าว เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 352 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 3,000,000 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณานาย อ. ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 352 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 3,000,000 บาท แก่โจทก์ร่วม จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เพียงบทเดียว ส่วนโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ข้อหาโกงเจ้าหนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยจดทะเบียนขายฝากทรัพย์พิพาทอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลยไว้แก่พันตำรวจเอก ม. ภายหลังที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีดังกล่าวแล้วนั้น จึงมิใช่การทำสัญญาในลักษณะปกติ แม้คดียังมีข้อโต้เถียงกรรมสิทธิ์และอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดขอนแก่นก็ตาม ถือว่าโจทก์ (โจทก์ร่วมในคดีนี้) อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่มีอำนาจจะฟ้องจำเลยแล้ว จึงเข้าองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมฐานโกงเจ้าหนี้นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกหรือไม่ เมื่อคดีฟังเป็นยุติว่าทรัพย์พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ร่วมกับจำเลย โจทก์ร่วมกับจำเลยจึงเป็นเจ้าของรวมในทรัพย์พิพาท การที่จำเลยนำทรัพย์พิพาทไปจดทะเบียนขายฝากไว้แก่พันตำรวจเอก ม. โดยโจทก์ร่วมไม่ทราบและไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ร่วมก่อน และไม่ไถ่คืนภายในกำหนดเช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเบียดบังเอาทรัพย์พิพาทไปเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก อีกบทหนึ่งด้วย การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวแล้วมานี้ เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้บทลงโทษตามมาตรา 352 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยมีบุตรด้วยกัน 1 คน ซึ่งป่วยเป็นโรคออทิสติก ต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่จากมารดาอย่างใกล้ชิด อีกทั้งพันตำรวจเอก ม. ยืนยันว่าจะขายทรัพย์พิพาทคืนให้ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อโจทก์ร่วมและจำเลยที่จะนำไปแบ่งสินสมรสกันต่อไป ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรรอการลงโทษให้แก่จำเลย เพื่อให้โอกาสกลับตัวประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไป ที่ศาลล่างทั้งสองไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำ ให้ลงโทษปรับด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 352 วรรคแรก ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10179/2557 |
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ป.อ. มาตรา 350 บัญญัติว่า "ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษ..." เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระหนี้โดยมีจำเลยที่ 2 เบิกความเป็นพยานให้แก่จำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมทราบว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว ต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แต่จำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้เมื่อโจทก์ติดตามยึดทรัพย์และยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 8237 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ที่จำนองไว้แก่เจ้าหนี้อื่น จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปไถ่ถอนทรัพย์จำนองดังกล่าวและขายให้แก่จำเลยที่ 3 โดยจงใจกำหนดราคาขายพอดีกับราคาไถ่ถอนจำนอง เพื่อไม่ให้มีเงินส่วนเกินจากราคาขายตกแก่จำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นการร่วมกันเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้บางส่วน มีความผิดฐานร่วมกันโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5482/2557 |
โจทก์เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ย.1062/2550 ของศาลแพ่ง จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 121938 ตำบลดอนช้าง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น ของจำเลยให้แก่ ร. ต่อมาจำเลยตกลงกับ ร. ว่าให้จำเลยขายที่ดินแล้วนำเงินที่ได้มามอบให้แก่ ร. เป็นสินไถ่ จึงมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกลับมาเป็นของจำเลยก่อนโอนขายให้แก่ ว. ในวันเดียวกัน แล้วนำเงินที่ได้มอบให้แก่ ร. ดังนี้ การกระทำของจำเลยสำเร็จเป็นความผิดนับแต่ขายฝากที่ดินให้แก่ ร. เพื่อให้พ้นจากการบังคับชำระหนี้ แม้ต่อมาจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกลับมาเป็นของจำเลยก่อนโอนขายให้แก่ ว. แล้วมอบเงินที่ได้เป็นสินไถ่ให้แก่ ร. ไม่ว่าจำเลยได้รับส่วนต่างจากเงินค่าขายที่ดินหรือไม่ ก็เป็นการกระทำเพื่อให้การขายที่ดินสำเร็จตามข้อตกลงเท่านั้น ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยกลับเป็นความผิดขึ้นใหม่อีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จำคุก 1 ปี ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินและต่อมาได้โอนขายที่ดินให้แก่นางสาว ว. เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยสำเร็จเป็นความผิดนับแต่ขายฝากที่ดินให้แก่นาย ร. เพื่อให้พ้นจากการบังคับชำระหนี้ แม้ต่อมาภายในกำหนดเวลาไถ่มีข้อตกลงขายที่ดินให้แก่นางสาว ว. จนต้องโอนที่ดินกลับคืนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยก่อนโอนขายให้แก่นางสาว ว. ไปในวันเดียวกัน ก็ได้ความว่าเงินที่ใช้เป็นสินไถ่เป็นจำนวนเดียวกับที่นางสาว ว. มอบให้แก่นาย ร. เป็นค่าที่ดิน ไม่ว่าจำเลยได้รับส่วนต่างจากเงินค่าขายที่ดินดังกล่าวดังที่โจทก์ฎีกาจริงหรือไม่ ก็เป็นการกระทำเพื่อให้การขายที่ดินสำเร็จตามข้อตกลงเท่านั้น ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยกลับเป็นความผิดขึ้นใหม่อีกกรรมหนึ่งแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาต่อไปว่า มีเหตุรอการลงโทษจำคุกแก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ 3,650,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย แม้โจทก์สามารถบังคับคดีโดยยึดที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาทรัพย์ 720,000 บาท ก็ยังขาดจำนวนอยู่อีกมาก และการที่จำเลยโอนขายที่ดินให้แก่นางสาววัชราภรณ์ในราคา 400,000 บาท ซึ่งนับได้ว่าโจทก์เสียโอกาสที่สามารถบังคับชำระหนี้เท่าจำนวนดังกล่าว ประกอบกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย มุ่งเพียงรักษาประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบ ไม่คำนึงถึงความเสียหายของผู้เป็นเจ้าหนี้ ขัดขวางการบังคับคดีไม่ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอันมีผลต่อระเบียบกฎเกณฑ์ทางสังคม จึงไม่สมควรรอการลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รอการลงโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 กำหนดโทษจำคุกและปรับ เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรไม่รอการลงโทษจึงกำหนดโทษจำคุกเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่กรณี พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุก 6 เดือน ไม่ลงโทษปรับและไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5222/2557 |
จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 47526 จำเลยที่ 1 เพียงมีชื่อในโฉนดแทนโจทก์เท่านั้น เมื่อธนาคาร ก. มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินดังกล่าว ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 มีการติดต่อระหว่างจำเลยทั้งสองเพื่อให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้ธนาคารดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์และมีสิทธิที่จะยึดที่ดินดังกล่าวมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ แต่ที่ดินติดจำนองอยู่กับธนาคาร ก. ซึ่งจำเลยที่ 2 จะได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ก็ต่อเมื่อธนาคารดังกล่าวในฐานะเจ้าหนี้จำนองได้รับชำระหนี้เงินกู้จากโจทก์ครบถ้วนแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ยินยอมชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ต้องเข้าชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์และจำเลยที่ 1 และขอรับโอนที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยปลอดจำนองจากธนาคารเป็นการตอบแทน ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 จึงเป็นกระบวนการในการชำระหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดเพราะเป็นการโอนที่ดินของโจทก์ชำระหนี้ของโจทก์เอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 350 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 350 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นน้องสาวจำเลยที่ 2 และนาง ซ. โจทก์และนาง ซ. ร่วมกันทำโครงการจัดสรรที่ดินขายด้วยการหาบุคคลอื่นมาถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จะจัดสรรแทน จำเลยที่ 2 พาโจทก์และนาง ซ. ไปหานาย บ. ขอให้ช่วยจัดให้คนงานถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จะจัดสรรแทน โจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 24935 ตำบลโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา นำมาจัดสรรโดยใส่ชื่อคนงานในร้านอาหารของนาย บ. รวมทั้งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ซื้อและถือกรรมสิทธิ์แทน โดยโจทก์ให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 2,000 บาท ต่อมาโจทก์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปแบ่งแยกออกเป็น 5 แปลงย่อย โดยโจทก์ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 47526 ตำบลโสธร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ 19 ตารางวา แทน ต่อมาโจทก์กู้ยืมเงิน 4,000,000 บาท จากธนาคาร ก. โดยให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนเป็นผู้ค้ำประกันหนี้และนำที่ดินไปจำนอง โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้และนำที่ดินมาจำนอง ต่อมาโจทก์ให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวคืน ในวันที่ 12 มิถุนายน 2545 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้นบังคับให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืน วันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชำระหนี้คืนแก่จำเลยที่ 2 แต่โจทก์ไม่ชำระ ในวันที่ 22 ตุลาคม 2547 จำเลยที่ 2 จึงขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของโจทก์มาชำระหนี้รวมทั้งที่ดิน ซึ่งจำเลยที่ 2 แจ้งว่าจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์แทนโจทก์ ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2548 จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 เนื่องจากวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 ธนาคาร ก. มีหนังสือให้โจทก์ผู้กู้และจำเลยที่ 1 ผู้ค้ำประกันชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินดังกล่าว จำเลยที่ 1 ขอให้จำเลยที่ 2 ช่วยเหลือ จำเลยที่ 2 ทำหนังสือขอลดยอดหนี้ ธนาคาร ก. ยินยอม ในวันที่ 29 ธันวาคม 2547 จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ 3,060,000 บาท ให้แก่ธนาคารแทนจำเลยที่ 1 และบุคคลอื่นที่ถูกบอกกล่าวให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนอง จำเลยที่ 1 จึงโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นการตอบแทน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 47526 จำเลยที่ 1 เพียงแต่มีชื่อในโฉนดแทนโจทก์เท่านั้น เมื่อธนาคาร ก. มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินดังกล่าว ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 มีการติดต่อระหว่างจำเลยทั้งสองเพื่อให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ให้ธนาคารดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์และมีสิทธิที่จะยึดที่ดินดังกล่าวมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ แต่ที่ดินติดจำนองอยู่กับธนาคาร ก. ซึ่งจำเลยที่ 2 จะได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ก็ต่อเมื่อธนาคารดังกล่าวในฐานะเจ้าหนี้จำนองได้รับชำระหนี้เงินกู้จากโจทก์ครบแล้ว เมื่อโจทก์ไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ต้องเข้าชำระหนี้เงินกู้แทนโจทก์และจำเลยที่ 1 และขอรับโอนที่ดินดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 โดยปลอดจำนองจากธนาคารเป็นการตอบแทน ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จึงเป็นกระบวนการในการชำระหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดเพราะเป็นการโอนที่ดินของโจทก์ชำระหนี้ของโจทก์เอง การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3140/2557 |
โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้จัดการมรดกของ ก. ฟ้องต่อศาลแพ่งว่าจำเลยกับพวกครอบครองเงินจากการขายที่ดินของกองมรดกที่จะต้องนำมาแบ่งแก่ทายาท แต่จำเลยเบียดบังไว้ไม่ยอมส่งมอบแก่กองมรดก ขอให้จำเลยกับพวกคืนเงินดังกล่าว ศาลแพ่งวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นลูกหนี้จริงและให้จำเลยชำระเงิน 4,076,230.65 บาท พร้อมดอกเบี้ย คดีถึงที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ทั้งสองและจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้จริง เมื่อจำเลยซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ธ. โอนขายหุ้นของจำเลยในบริษัทดังกล่าวแก่ ป. ก่อนที่ศาลแพ่งจะมีคำพิพากษาเพียง 1 เดือน จึงเป็นพฤติการณ์ส่อให้เห็นว่าจำเลยกระทำเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนซึ่งใช้สิทธิทางศาลแล้วได้รับชำระหนี้ อันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2187/2557 |
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 ต้องปรากฏว่าเจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้แล้ว หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยผู้กระทำต้องรู้ว่าเจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้ หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ลูกหนี้ชำระหนี้ และย้ายไปเสียซึ่งทรัพย์ ซ่อนเร้นทรัพย์ หรือโอนทรัพย์ของลูกหนี้ไปให้แก่ผู้อื่น เพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันโอนชื่อที่ดินของ บ. จาก บ. เป็นผู้รับโอนประเภทมรดกใส่ชื่อจำเลยทั้งสอง ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินซึ่งเป็นมรดกของ บ. ที่ตกทอดแก่จำเลยทั้งสองในฐานะที่จำเลยทั้งสองเป็นผู้รับมรดกของ บ. เท่านั้น ซึ่งโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้กองมรดกของ บ. ยังคงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกดังกล่าว เมื่อคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ระบุว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันโอนที่ดินของ บ. ซึ่งเป็นลูกหนี้โจทก์ไปให้แก่ผู้อื่น จึงเป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1676/2557 |
การโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดอันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 นั้น ผู้กระทำต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ การที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 รับโอนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 49394 ซึ่งผู้ตายเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มาเป็นของตนเองนั้น ก็เป็นเพียงการรับโอนทรัพย์มรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตายตามกฎหมาย แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายจะสละมรดกในที่ดินโฉนดดังกล่าว แต่สิทธิของเจ้าหนี้ในการว่ากล่าวเอากับทรัพย์มรดกที่ตกทอดแก่ทายาทยังคงมีอยู่ตามเดิม มิได้ถูกกระทบกระเทือนเนื่องจากการกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 950/2556 |
แม้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดและจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏสารบัญจดทะเบียนในสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5 ว่า จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองจากธนาคาร ก. ก่อนแล้วจึงจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อจากนั้นจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองแก่ธนาคาร อ. โดยกระทำขึ้นในวันเดียวกันทั้งหมด และข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสองว่า เหตุที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เนื่องจากจำเลยที่ 1 นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคาร ก. ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนด ธนาคารจะฟ้องดำเนินคดี จึงทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาอีก และไม่มีเงินชำระหนี้ จำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทน โดยโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2 นำไปเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินจากธนาคาร อ. แล้วนำเงินไปชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองให้แก่ธนาคาร ก. ส่วนเงินที่เหลือจำเลยที่ 2 นำไปปลูกสร้างบ้านบนที่ดินดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 1 และหลานก็พักอาศัยอยู่ในบ้านที่จำเลยที่ 2 ปลูกสร้างขึ้นด้วย โดยที่จำเลยที่ 2 มีภาระต้องผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ธนาคาร อ. แม้ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีหนี้ค้างชำระอยู่กับธนาคาร ก. จำนวนเท่าใด แต่การที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้จำนองและขายที่ดินที่จำนองเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองก็เป็นการขายเพื่อชำระหนี้ของตนตามปกติ และเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 จะต้องกระทำเพื่อมิให้ถูกธนาคาร ก. เจ้าหนี้ผู้รับจำนองบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 อันมีลักษณะเป็นการขายเพื่อปลดเปลื้องภาระหนี้จำนองของตน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่อาจถือได้ว่า จำเลยที่ 1 ขายที่ดินไปโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามฟ้อง โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณาโจทก์ถึงแก่ความตาย นาง พ. บุตรของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 4 เดือน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาตามยอมในคดีหมายเลขแดงที่ 333/2543 ของศาลชั้นต้น โดยให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 169,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 130,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินที่ ตำบลทางพระ อำเภอโพธิ์ทอง จังหวัดอ่างทอง ให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีนาง พ. ผู้รับมอบอำนาจและผู้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์เบิกความเป็นพยานว่า จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่จำเลยที่ 2 หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใด และจำเลยที่ 2 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามสารบัญจดทะเบียนในสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.5 ว่า จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองจากธนาคาร ก. ก่อนแล้วจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อจากนั้นจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองแก่ธนาคาร อ. โดยกระทำขึ้นในวันเดียวกันทั้งหมด และข้อเท็จจริงยังได้ความจากคำเบิกความของจำเลยทั้งสองว่า เหตุที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เนื่องจากจำเลยที่ 1 นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคาร ก. ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนด ธนาคารจะฟ้องร้องดำเนินคดี จึงได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ แต่จำเลยที่ 1 ก็ผิดสัญญาอีก และไม่มีเงินชำระหนี้ จำเลยที่ 1 จึงให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทน โดยโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2 นำไปเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงินจากธนาคาร อ. แล้วนำเงินไปชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองให้แก่ธนาคาร ก. ส่วนเงินที่เหลือจำเลยที่ 2 ได้นำไปปลูกสร้างบ้านบนที่ดินดังกล่าว ซึ่งจำเลยที่ 1 และหลานก็พักอาศัยอยู่ในบ้านที่จำเลยที่ 2 ปลูกสร้างขึ้นด้วย โดยจำเลยที่ 2 มีภาระต้องผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ธนาคาร อ. แม้ข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มีหนี้ค้างชำระอยู่กับธนาคาร ก. จำนวนเท่าใด แต่การที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้จำนองและได้ขายที่ดินที่จำนองเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ไถ่ถอนจำนอง เป็นการขายเพื่อชำระหนี้ของตนตามปกติ และเป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 จำต้องกระทำเพื่อมิให้ถูกธนาคาร ก. เจ้าหนี้ผู้รับจำนองบังคับจำนองเอาแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 อันมีลักษณะเป็นการขายเพื่อปลดเปลื้องภาระหนี้จำนองของตน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินไปโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16070 - 16072/2555 |
ตาม ป.อ. มาตรา 350 บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ผู้ใดเพียงแต่รู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ แล้วย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใด แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริง ก็ถือว่าเป็นความผิดตามมาตราดังกล่าวแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในเรื่องผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหาย จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดพอชำระหนี้แก่โจทก์ ขณะที่คดีแพ่งดังกล่าวอยู่ระหว่างบังคับคดีตามคำพิพากษา จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดิน 3 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา แม้คดีแพ่งดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ฟ้องแย้ง และผลคดีอาจจะเปลี่ยนแปลงโดยศาลฎีกาอาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีตามฟ้องแย้ง ซึ่งไม่แน่ว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นที่สุดหรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้แล้ว ไม่จำต้องถือเอาคำพิพากษาของศาลที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดในทางแพ่งมาเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานดังกล่าว คดีทั้งสามสำนวน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ทั้งสามสำนวนว่า โจทก์ เรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งสามสำนวนว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องจำเลยทั้งสองรวมสามสำนวนความว่า ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 92, 350 และขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนเปลี่ยนชื่อจากจำเลยที่ 2 มาเป็นของจำเลยที่ 1 หากไม่สามารถทำการโอนได้ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 3337/2547 ของศาลชั้นต้น และในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1/2547 ของศาลจังหวัดขอนแก่น ระหว่างพิจารณา โจทก์ทั้งสามสำนวนยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะคำขอบังคับในคำขอท้ายฟ้องในสำนวนทั้งสามสำนวน ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นทั้งสามสำนวนไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง จำเลยทั้งสองทั้งสามสำนวนให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสามสำนวน โจทก์ทั้งสามสำนวนอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 3 เดือน รวม 2 กระทง รวมจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 และนาย ก. มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันรวม 5 คน นาย ก. ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2538 มีทรัพย์มรดกคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ตำบลโนนคอม อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2539 ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งนาย ว. เป็นผู้จัดการมรดกของนาย ก. เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2539 นาย ว. ในฐานะผู้จัดการมรดกของนาย ก. จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ให้แก่จำเลยที่ 1 และเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540 จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) อีกฉบับ ให้แก่บุตรทั้งห้าคนของนาย ก. ซึ่งรวมจำเลยที่ 1 ด้วย ต่อมาที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดิน ตำบลนาฝาย อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น และแบ่งแยกออกเป็นโฉนดย่อย อีก 1 โฉนด เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีแพ่งที่ศาลจังหวัดขอนแก่น เรื่องผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหาย ศาลจังหวัดขอนแก่นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 2,976,400 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ฎีกา คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา และเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2545 จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินตามโฉนด อีก 2 โฉนด ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา ซึ่งที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวคือที่ดินอันเป็นมูลเหตุแห่งคดีนี้ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 ทั้งสามสำนวนเป็นความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยหรือไม่ โจทก์มีนาย ค. ทนายโจทก์และนาย ช. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความได้ใจความว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาในคดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในเรื่องผิดสัญญาและเรียกค่าเสียหาย เป็นเงินประมาณ 2,900,000 บาท ขณะคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดีตามคำพิพากษา จำเลยที่ 1 ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้เป็นมารดาโดยจำเลยที่ 2 พักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จะต้องรู้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาและต้องชำระหนี้แก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำโดยเจตนาที่จะมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา ส่วนจำเลยที่ 1 มีจำเลยทั้งสองและนาย ว. เบิกความสรุปได้ว่า ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เป็นที่ตั้งของบ้าน หมู่ที่ 3 ตำบลนาฝาย อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น ส่วนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) อีกฉบับ ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นที่ดินโฉนด และแยกออกเป็นโฉนดย่อย อีกโฉนดหนึ่งนั้นเป็นที่สวนมะม่วงและขนุน ที่ดินข้างต้นเป็นทรัพย์ของนาย ก. และยังมีที่ดินของนาย ก. อีกแปลงหนึ่งคือที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เนื้อที่ประมาณ 34 ไร่ เมื่อนาย ก. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ต้องการที่บ้านและที่สวนไว้เป็นหลักประกันยามชราแต่เจ็บป่วยจึงให้นาย ว. ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ไว้ก่อน และให้จำเลยที่ 1 โอนที่ดินทั้งสองแปลงคืนแก่จำเลยที่ 2 ในภายหลัง ส่วนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) อีกฉบับ ให้ใส่ชื่อห้าพี่น้องบุตรของนาย ก. ต่อมาที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินเลข และจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 1 แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวเป็นอีกแปลงหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 2 หายป่วยแล้ว จำเลยที่ 1 จึงจดทะเบียนโอนที่ดินทั้งสามแปลงข้างต้นคืนให้แก่จำเลยที่ 2 ตามที่ตกลงกันไว้แต่เดิม และจำเลยที่ 1 ยังมีทรัพย์สินอื่นอีกคือหุ้นในบริษัท ส. ทั้งยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ฉบับอื่น คิดเป็นเนื้อที่ 7 ไร่เศษ เห็นว่า หากทายาทของนาย ก. ตกลงที่จะยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ให้แก่จำเลยที่ 2 และยกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) อีกฉบับ ให้แก่บุตรทั้งห้าคนของนายกัน เหตุใดจึงต้องไปจดทะเบียนโอนคนละคราวโดยไปโอนที่ดิน 2 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2539 และโอนที่ดินอีก 1 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 1 และพี่น้องอีก 4 คน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2540 ส่วนที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าจำเลยที่ 2 ป่วย จึงให้ผู้จัดการมรดกโอนที่ดินซึ่งเป็นที่บ้านและที่สวนให้แก่จำเลยที่ 1 ก่อน แล้วให้จำเลยที่ 1 โอนคืนให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น ก็ฟังเป็นพิรุธ เพราะได้ความว่าจำเลยที่ 2 ป่วยแบบเป็น ๆ หาย ๆ มิได้ป่วยหนักจนกระทำการอันใดมิได้ และเป็นเพียงการรับโอนมรดกโดยไม่มีเหตุเร่งด่วนพิเศษเช่นจำเลยที่ 2 จะต้องนำที่ดินไปจำนอง โอนขายหรือนำไปทำธุรกรรมอื่น ๆ ซึ่งจะต้องรับโอนที่ดินดังกล่าวเป็นชื่อของจำเลยที่ 2 โดยเร็ว หรือหากจะฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ป่วยมากก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ก็ไม่จำเป็นต้องไปดำเนินการโอนทางทะเบียนด้วยตนเองโดยสามารถมอบอำนาจให้บุคคลอื่นไปดำเนินการแทนก็ได้ ข้ออ้างดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 รับโอนมรดกที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดิน ไว้เป็นทรัพย์ของตนเอง สำหรับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) อีกฉบับนั้น จำเลยที่ 1 มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวเพียง 1 ใน 5 ส่วน ทั้งยังได้ความจากจำเลยที่ 1 เองว่า บริษัทดังกล่าวมิได้ดำเนินกิจการแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า คดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องแย้งและผลคดีอาจจะเปลี่ยนแปลงโดยศาลฎีกาอาจพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีตามฟ้องแย้ง ยังไม่แน่ว่าโจทก์จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในชั้นที่สุดหรือไม่นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 บัญญัติไว้ว่า "ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษ..." ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติไว้ชัดเจนว่าเพียงแต่รู้ว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วกระทำการดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้วหาจำต้องถือเอาคำพิพากษาของศาลให้รับผิดในทางแพ่งมาเป็นองค์ประกอบความผิดฐานนี้ไม่ เมื่อคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาโอนทรัพย์สินเพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้หากจำเลยที่ 1 ต่างแพ้คดีในที่สุด ดังนั้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้และให้จำคุกจำเลยที่ 1 กรรมละ 3 เดือน รวม 2 กรรม นั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 1 กระทงละ 2,000 บาท เป็นเงิน 4,000 บาท อีกสถานหนึ่ง รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14785/2555 |
ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุเกิดวันที่ 25 มีนาคม 2542 แต่โจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์เพราะประสงค์จะดำเนินคดีเอง การที่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2549 โจทก์จะต้องนำสืบให้รับฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องภายในสามเดือนนับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นเช่นนั้น คดีในความผิดฐานนี้จึงขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในฐานความผิดนี้ จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และเหตุเรื่องคดีขาดอายุความเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาในคดีขอแบ่งสินสมรส และบังคับคดีโดยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นสินสมรส แล้วนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันตามส่วน โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายตามส่วนที่เป็นของตนเอง ส่วนการที่จำเลยทั้งสองทำบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ 25 มีนาคม 2542 ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น หากจำเลยทั้งสองมีเจตนาก่อให้เกิดหนี้จริงก็เป็นหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว การที่จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 ในคดีขอให้บังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการปฏิบัติผิดข้อตกลงดังกล่าว ก็คงมีเพียงสิทธิบังคับคดีเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ก่อน เมื่อไม่พอจึงมีสิทธิบังคับเอาจากสินสมรสที่เป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1488 สิทธิในการบังคับคดีของจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลกระทบสิทธิในการได้รับชำระหนี้ของโจทก์ แม้จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในคดีที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 ก็คงมีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพียงเฉพาะที่เป็นส่วนของจำเลยที่ 1 ดังนั้น หากแม้ว่าจำเลยที่ 2 จะเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลเกี่ยวกับมูลหนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 ในคดีที่จำเลยที่ 2 ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องจริง ก็ไม่อาจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายได้เลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้องในความผิดฐานเบิกความเท็จ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 177, 350 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูก มาตรา 91 ฐานโกงเจ้าหนี้ จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 เดือน ฐานเบิกความเท็จจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ลดโทษให้จำเลยที่ 2 กระทงละกึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 4 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 2 ไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังยุติว่า โจทก์เคยเป็นสามีจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่า และแบ่งสินสมรสคือ ที่ดินโฉนด ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างคือ บ้าน แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หรือเป็นเงินประมาณ 2,000,000 บาท ศาลในคดีดังกล่าวพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้อง โจทก์ยังฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งจำเลยทั้งสองกระทำ ให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ลงในโฉนดที่ดินเช่นเดิม หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง และหากไม่สามารถโอนกลับคืนได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ราคา 2,000,000 บาท แทนแก่โจทก์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้เห็นว่า คดีอยู่ในอำนาจการพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว จึงโอนสำนวนไปยังศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ 1 ในราคา 1,300,000 บาท ศาลในคดีดังกล่าวพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเต็มตามฟ้อง หลังจากนั้นเจ้าพนักงานที่ดินจดทะเบียนเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขาย จำเลยทั้งสองร่วมกันทำบันทึกข้อตกลงมีสาระสำคัญว่า จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าขายที่ดินแปลงแก่จำเลยที่ 2 ในราคา 4,500,000 บาท ได้รับชำระแล้ว 4,030,000 บาท ยังค้างชำระ 470,000 บาท จำเลยที่ 1 ยอมชำระค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท แก่โจทก์ และมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 เจรจากับโจทก์ หากตกลงกันไม่ได้ จำเลยที่ 1 ยอมชำระค่าเสียหาย 2,000,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 และยอมจดทะเบียนใส่ชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวร่วมกับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้น กล่าวหาว่าปฏิบัติผิดข้อตกลงขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 5,865,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 4,030,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลยที่ 2 ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ 1 ในราคา 4,500,000 บาท ชำระแล้ว 4,030,000 บาท ศาลในคดีดังกล่าวพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชนะคดีเต็มตามฟ้อง สำหรับคดีที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยที่ 1 โจทก์บังคับคดีโดยการขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว อันเป็นสินสมรสแล้วนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันตามส่วน ต่อมาจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางโดยอ้างว่า จำเลยที่ 2 ไม่สามารถเอาชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 ได้ นอกจากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางพิจารณาแล้วอนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้ตามขอ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อแรกว่า คดีในส่วนความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า คดีในส่วนความผิดฐานโกงเจ้าหนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2542 แต่โจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์เพราะประสงค์จะดำเนินคดีเอง ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2549 โจทก์ย่อมจะต้องนำสืบพยานให้รับฟังได้ว่า โจทก์ฟ้องภายในสามเดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด แต่โจทก์กลับไม่ได้นำสืบให้เห็นได้เช่นนั้น คดีในส่วนความผิดฐานนี้จึงขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (6) ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานนี้จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 2 ไม่ได้ยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่ก็ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังขึ้น เหตุเรื่องคดีขาดอายุความเป็นเหตุในลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อสองว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานเบิกความเท็จหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจำเลยที่ 1 ในคดีฟ้องขอแบ่งสินสมรส และบังคับคดีโดยการขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นสินสมรสแล้วนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาแบ่งปันกันตามส่วน โจทก์ย่อมมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายตามส่วนที่เป็นของตนเอง การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันทำบันทึกข้อตกลง ซึ่งมีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น หากแม้จำเลยทั้งสองมีเจตนาก่อให้เกิดหนี้ขึ้นจริงก็เป็นหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว การที่จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจำเลยที่ 1 ในคดีฟ้องขอให้บังคับชดใช้ค่าเสียหาย อันเนื่องมาจากการปฏิบัติผิดข้อตกลงมีเพียงสิทธิบังคับคดีเอาจากสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ก่อน เมื่อไม่พอจึงมีสิทธิบังคับคดีเอาจากสินสมรสที่เป็นส่วนของจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1488 สิทธิในการบังคับคดีของจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลกระทบต่อสิทธิในการได้รับชำระหนี้ของโจทก์ กล่าวคือ แม้จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางในคดีที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 มีสิทธิจะได้รับชำระหนี้จากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพียงเฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้น หากแม้ว่าจำเลยที่ 2 จะเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลชั้นต้นตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องจริง ก็ไม่อาจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายได้เลย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายและไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังขึ้น ฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้ออื่น ๆ ศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยให้เพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13335/2555 |
พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 7 บัญญัติให้ความผิดในประมวลกฎหมายอาญาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีเฉพาะในส่วนคดีอาญาเกี่ยวกับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 271 ถึงมาตรา 275 อันเป็นบทความผิดในภาค 2 ลักษณะ 8 ความผิดเกี่ยวกับการค้า เท่านั้น บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้รวมถึงความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 อันเป็นความผิดในภาค 2 ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ซึ่งกฎหมายไม่ได้ให้อำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไว้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเจ็ดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350, 83 ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า พิเคราะห์ฟ้องของโจทก์แล้ว ไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง แต่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวง จึงให้คืนฟ้องแก่โจทก์ไป จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 7 บัญญัติให้ความผิดในประมวลกฎหมายอาญาที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีเฉพาะในส่วนคดีอาญาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 271 ถึงมาตรา 275 อันเป็นบทความผิดในภาค 2 ลักษณะ 8 ความผิดเกี่ยวกับการค้า เท่านั้น บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้รวมถึงความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 อันเป็นความผิดใน ภาค 2 ลักษณะ 12 ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ดังนั้น เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่ากฎหมายไม่ได้ให้อำนาจศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไว้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีตามข้อกล่าวหาของโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยทั้งเจ็ดกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยว่า ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาและมีคำสั่งไม่รับฟ้องจึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4789/2555 |
แม้ขณะจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดิน คดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลก็ตาม แต่ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 มิได้บัญญัติให้เจ้าหนี้หมายถึงบุคคลผู้ชนะคดีและคดีถึงที่สุดแล้วเท่านั้น หากหมายถึงเจ้าหนี้ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิฟ้องให้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาล การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินไปโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อว่าเมื่อโจทก์ชนะคดีแพ่งแล้ว โจทก์อาจไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 90, 91, 350 และนับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2945/2547 ของศาลอาญา ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2945/2547 ของศาลอาญา คำขอนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 โจทก์ถึงแก่กรรม นาย ส. และนาย ช. บุตรของโจทก์ยื่นคำร้องขอเข้าดำเนินคดีต่างผู้ตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำสั่งอนุญาต ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 แถลงไม่คัดค้านการขอถอนฟ้อง จึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 2 จำหน่ายคดีของจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ขณะจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินจำนวน 32 แปลง ให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2548 คดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ทั้งสองคดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็ตาม แต่ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้สำคัญที่ว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินไปโดยมีเจตนาพิเศษเพื่อว่า เมื่อโจทก์ชนะคดีแพ่งแล้ว โจทก์อาจไม่สามารถบังคับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ได้ ทั้งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 มิได้บัญญัติให้เจ้าหนี้หมายถึงเฉพาะบุคคลผู้ที่ชนะคดีและคดีได้ถึงที่สุดแล้วเท่านั้น หากหมายความถึงเจ้าหนี้ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิฟ้องให้ชำระหนี้ คำพิพากษาของศาลที่ให้จำเลยที่ 1 รับผิดในทางแพ่งจึงมิใช่องค์ประกอบความรับผิดในทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ ทั้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 615/2551 ก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีเท่านั้น จึงไม่อาจนำมารับฟังในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อจำเลยที่ 1 โอนที่ดินหลังจากที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ถือว่าโจทก์อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1898/2554 |
ปัญหาว่าศาลชั้นต้นอนุญาตให้คู่ความถือเอาคำให้การของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องมาเป็นส่วนหนึ่งของคำเบิกความในชั้นพิจารณาแล้วให้ทนายจำเลยที่ 1 ถามค้าน เป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง เพราะไม่ได้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ก็สามารถยกขึ้นเป็นเหตุฎีกาได้ และคู่ความฝ่ายที่เสียหายจากการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอาจยกปัญหานั้นขึ้นว่ากล่าวได้ในเวลาใดๆ ก่อนศาลมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ก่อนเบิกความโจทก์เป็นฝ่ายเสนอโดยแถลงว่าจะขอถือคำให้การพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเป็นคำให้การของพยานในชั้นพิจารณาเพราะทนายโจทก์จะถามพยานเช่นเดียวกับในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ทนายจำเลยทั้งสามยอมรับ และศาลชั้นต้นอนุญาตให้คู่ความปฏิบัติตามที่ตกลงกัน โดยทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านและทนายโจทก์ถามติงแล้วต่างฝ่ายต่างสืบพยานมาจนเสร็จสิ้น โจทก์ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการดำเนินกระบวนพิจารณาในการสืบพยานปากนั้นเป็นการกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยเพียงแต่โจทก์ขอให้ถือเอาคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเป็นคำเบิกความในชั้นพิจารณา ก็เป็นวิธีการของโจทก์เองที่เลือกเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยด้วยวิธีนี้ ศาลไม่มีหน้าที่ต้องทักท้วงเสนอแนะว่าพยานหลักฐานเช่นนี้ใช้ลงโทษจำเลยได้หรือไม่ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 350, 91 ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้คู่ความถือเอาคำให้การของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2543 เป็นส่วนหนึ่งของคำเบิกความในชั้นพิจารณา แล้วให้ทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านในวันที่ 19 มีนาคม 2545 เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 วรรคหนึ่ง เห็นว่า ข้อที่ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์จะมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ก็สามารถยกเป็นเหตุฎีกาได้ แต่คู่ความฝ่ายที่เสียหายจากการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบอาจยกกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นขึ้นว่ากล่าวได้ในเวลาใดๆ ก่อนศาลมีคำพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 สำหรับปัญหาที่โจทก์ฎีกานั้นได้ความว่า เมื่อศาลชั้นต้นจดบันทึกว่า "ก่อนเบิกความโจทก์เป็นฝ่ายเสนอโดยแถลงว่า จะขอถือคำให้การพยานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องลงวันที่ 24 มกราคม 2543 เป็นคำให้การของพยานในชั้นพิจารณา เพราะทนายโจทก์จะถามพยานเช่นเดียวกันกับที่พยานได้ให้การไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ทนายจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 ที่ 3 ยอมรับ ศาลอนุญาต" ต่อมาคู่ความปฏิบัติตามที่ตกลงกันดังกล่าวโดยทนายจำเลยที่ 1 ถามค้านและทนายโจทก์ถามติงเพิ่มเติม แล้วต่างสืบพยานฝ่ายของตนเรื่อยมาจนเสร็จสิ้น โดยโจทก์ไม่เคยโต้แย้งคัดค้านก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นการกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เพียงแต่โจทก์ขอให้ถือเอาคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนเป็นคำเบิกความในชั้นพิจารณา ก็เป็นวิธีการของโจทก์เอง ที่เลือกเสนอพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยโดยวิธีนี้ ศาลไม่มีหน้าที่ต้องทักท้วงเสนอแนะว่าพยานหลักฐานเช่นนี้ใช้ลงโทษจำเลยได้หรือไม่ได้ ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกฎีกาโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9202/2553 |
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อปี 2538 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 จึงทราบว่าเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยที่ 1 บังอาจจดทะเบียนยกที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาซ่อนเร้นทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ เพื่อให้พ้นไปเสียจากการที่โจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์ดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะให้โจทก์บังคับคดีได้อีก ตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวมีความหมายให้เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำไปโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้ว ซึ่งครบองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ เพื่อเป็นหลักประกันการทำงานของนาย ส. ลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งผู้จัดการ ในวงเงิน 200,000 บาท และเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2535 ได้จดทะเบียนขึ้นเงินจำนวนอีก 3,800,000 บาท รวมเป็นวงเงิน 4,000,000 บาท ต่อมานาย ส. ทำงานบกพร่องผิดสัญญาจ้างแรงงานทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ฟ้องนาย ส. และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นาย ส. รับผิดชำระเงินจำนวน 7,000,000 บาทเศษ ต่อมาเมื่อปี 2538 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 จึงทราบว่าเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยที่ 1 บังอาจจดทะเบียนยกที่ดินโฉนด ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาซ่อนเร้นทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้เพื่อให้พ้นไปเสียจากการที่โจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์ดังกล่าว เพื่อชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะให้โจทก์บังคับได้อีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 350 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 4,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป ให้รอการลงโทษไว้กำหนดคนละ 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) หรือไม่ ในปัญหานี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำไปโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ ย่อมเป็นฟ้องที่ขาดสาระสำคัญแห่งองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ เห็นว่า การกระทำอันจะเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ได้บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ว่า "ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดี แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าวเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์ของลูกหนี้นั้น แสดงไว้แจ้งชัดว่าหมายถึงทรัพย์สินใดๆ ของลูกหนี้ที่มีอยู่ได้มีการย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปเพียงเพื่อเจตนามิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อปี 2538 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยที่ 1 กับพวกรับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์บังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 จึงทราบว่าเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยที่ 1 บังอาจจดทะเบียนยกที่ดินโฉนด ตำบลกำแพง อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ให้แก่จำเลยที่ 2 โดยเสน่หา การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมีเจตนาซ่อนเร้นทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิหรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ เพื่อให้พ้นไปเสียจากการที่โจทก์จะบังคับคดีเอากับทรัพย์ดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนแก่โจทก์ โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะให้โจทก์บังคับคดีได้อีก โดยเมื่อพิเคราะห์คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วก็เป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์มีความหมายให้เข้าใจได้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำไปโดยรู้ว่าเจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้ว ซึ่งครบองค์ประกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากคดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) โดยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้ออื่นๆ ดังนั้น เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาล เพราะผลแห่งการวินิจฉัยอาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิการฎีกาของคู่ความได้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพิพากษาใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบด้วยมาตรา 225" พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 701/2553 |
จำเลยที่ 1 และที่ 2 สมคบกันทำสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 30 กันยายน 2541 จำนวนเงิน 500,000 บาท และฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2542 จำนวนเงิน 200,000 บาท โดยมิได้เป็นหนี้กันจริง แล้วดำเนินคดีและบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้นต่อที่ดินโฉนด พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1142/2544 ของศาลชั้นต้น บังคับคดีต่อทรัพย์สินดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการจงใจทำผิดกฎหมาย อันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 สัญญากู้ยืมเงินทั้ง 2 ฉบับและสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้น จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โดยไม่ต้องเพิกถอน โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้นและให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้เอาจากที่ดินโฉนดที่ดิน จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนสัญญากู้ยืมเงินระหว่างจำเลยทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 30 กันยายน 2541 จำนวนเงิน 500,000 บาท ฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2542 จำนวนเงิน 200,000 บาท และสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2545 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้น กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,500 บาท แทนโจทก์ จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2541 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ละเมิดที่นางสาว ส. บุตรจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ 3,681,846 บาท โดยจำเลยที่ 1 มอบโฉนดที่ดิน ให้โจทก์ยึดถือเป็นประกัน วันที่ 2 ตุลาคม 2541 จำเลยที่ 1 และนางสาว ส. ชำระหนี้ให้โจทก์ 681,846 บาท แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องนางสาว ส. และจำเลยที่ 1 ให้ใช้เงินส่วนที่เหลือ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2544 ให้นางสาว ส. ชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง หากนางสาว ส. ไม่ชำระให้จำเลยที่ 1 ชำระแทน ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1142/2544 ของศาลชั้นต้น นางสาว ส. และจำเลยที่ 1 ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 27 มีนาคม 2545 แต่นางสาว ส. และจำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์คดีถึงที่สุด และเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2545 จำเลยที่ 2 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน 2 ฉบับ ฉบับแรกจำนวนเงิน 500,000 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 1 ตุลาคม 2544 ฉบับที่สองจำนวนเงิน 200,000 บาท ครบกำหนดชำระวันที่ 1 ธันวาคม 2544 ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2545 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมผ่อนชำระเงินจำนวน 750,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 เดือนละ 20,000 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 1 มีนาคม 2545 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ผิดนัดในงวดแรกจำเลยที่ 2 จึงขอบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 47781 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 ในวันที่ 27 มีนาคม 2545 ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลชั้นต้นเรียกต้นฉบับโฉนดที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้สมคบกันทำสัญญากู้ยืมเงินขึ้นโดยมิได้เป็นหนี้กันจริง เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 8 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ชอบด้วยเหตุผลแล้ว และไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ในข้อเท็จจริงดังกล่าวฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาพิพากษาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 มาตรา 219 วรรคสอง และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 สมคบกันทำสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 30 กันยายน 2541 จำนวนเงิน 500,000 บาท และฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2542 จำนวนเงิน 200,000 บาท ขึ้นมาโดยมิได้เป็นหนี้กันจริง แล้วดำเนินคดีและบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้นต่อที่ดินโฉนดเลขที่ 47781 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1142/2544 ของศาลชั้นต้น บังคับคดีต่อทรัพย์สินดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการจงใจทำผิดกฎหมายอันเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 สัญญากู้ยืมเงินทั้ง 2 ฉบับดังกล่าวและสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้น จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายและขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 โดยไม่ต้องเพิกถอน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในส่วนนี้ให้ถูกต้อง" พิพากษาแก้เป็นว่า สัญญากู้ยืมเงินระหว่างจำเลยทั้งสอง ฉบับลงวันที่ 30 กันยายน 2541 จำนวนเงิน 500,000 บาท ฉบับลงวันที่ 30 เมษายน 2542 จำนวนเงิน 200,000 บาท และสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2545 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 42/2545 ของศาลชั้นต้น เป็นโมฆะ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 และยกฎีกาของจำเลยทั้งสองเสีย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7254/2551 |
โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผู้เสียหายเคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ โดยอาศัยเหตุจากการที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้แก่จำเลยที่ 2 และโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมาลเลขแดงที่ 1839/2545 ของศาลชั้นต้นได้ขอถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวไป ซึ่งเป็นสิทธิส่วนตัวของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่จะกระทำได้ ไม่กระทบถึงสิทธิของโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้เสียหายรายอื่นที่จะฟ้องจำเลยได้อีก แม้มูลเหตุที่จะฟ้องเป็นเรื่องการโอนที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์รายเดียวกันก็ตาม ไม่เป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 36 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ของศาลชั้นต้นโดยให้เรียกโจทก์ในคดีดังกล่าว ว่าโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ เรียกโจทก์ในคดีนี้ว่าโจทก์ที่ 3 และเรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ทั้งสองสำนวนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตามลำดับแต่คดีดังกล่าวยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้ และให้เรียกชื่อโจทก์ที่ 3 ใหม่ว่าโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และที่ 4
ศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์คดีนี้ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นผู้เสียหายเคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นคดีอาญาในความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ โดยอาศัยเหตุจากการที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ให้แก่จำเลยที่ 2 และโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ของศาลชั้นต้นได้ขอถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวไป ซึ่งเป็นสิทธิส่วนตัวของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1839/2545 ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่จะกระทำได้ ไม่กระทบถึงสิทธิของโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้เสียหายรายอื่นที่จะฟ้องจำเลยได้อีก แม้มูลเหตุที่ฟ้องจะเป็นเรื่องการโอนที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์รายเดียวกันก็ตาม ไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและเนื่องจากคดีนี้ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิจารณาและวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่เพื่อให้การพิจารณาคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงเห็นควรให้ส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้น เพื่อให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง โดยให้ส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น เพื่อพิจารณาและพิพากษาตามที่เห็นสมควรต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5367/2551 |
โจทก์ทราบว่าจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้โอนที่ดินให้ ท. โจทก์ย่อมมีสิทธิเลือกที่จะฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างจำเลยกับ ท. หรือฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาก็ได้ การที่โจทก์เลือกใช้สิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ เมื่อจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้ ท. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลได้รับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2539 เวลากลางวันจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนด ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง รวม 8 โฉนด ให้แก่นาย ท. โดยเสน่หาไม่มีค่าตอบแทน โดยจำเลยรู้ว่าขณะนั้นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 3480/2538 ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม 2538 แล้ว และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยในขณะนั้นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่ มีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์โดยชำระเงิน 305,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำนวน 3,500 บาท ด้วย คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดเชียงใหม่ชั้นบังคับคดีโจทก์สืบหาทรัพย์สินของจำเลยจึงทราบว่า จำเลยโอนที่ดินจำนวน 8 แปลง ให้นาย ท. ไปแล้ว โจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2540 โจทก์ไม่ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพราะประสงค์จะดำเนินคดีเอง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง จำเลยไม่ได้ให้การ ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จำคุก 4 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2538 โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2539 จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทรวม 8 แปลง ให้นาย ท. บุตรชายเป็นที่ดินโฉนด ตำบลห้างฉัตร อำเภอห้างฉัตร จังหวัดลำปาง ต่อมาเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2540 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 305,625 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า นอกจากได้ความจากโจทก์และนาย พ. ทนายความของโจทก์ว่า ภายหลังจากที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 305,625 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1271/2540 แล้ว โจทก์ดำเนินการส่งคำบังคับให้แก่จำเลย เมื่อครบกำหนดเวลาตามคำบังคับแล้ว จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ นาย พ. ทนายความของโจทก์ได้สืบหาทรัพย์สินของจำเลยเพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์มาชำระหนี้ให้โจทก์ จึงทราบว่าจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้ง 8 แปลง ให้นาย ท. บุตรของจำเลยไปโดยเสน่หาแล้ว ทั้งยังได้ความจากจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าหลังจากโอนที่ดินพิพาท 8 แปลง แล้ว จำเลยไม่มีที่ดินเป็นของตนอีกแสดงว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่โจทก์สามารถยึดนำมาชำระหนี้ได้อีกแล้ว ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่า หากจำเลยมีเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ จำเลยก็น่าจะโอนที่ดินทั้ง 8 แปลง ดังกล่าวให้บุคคลอื่นหรือขายให้บุคคลภายนอกแทนที่จะโอนให้บุคคลภายในครอบครัวและน่าจะโอนในระยะเวลากระชั้นชิดกับที่โจทก์ฟ้องคดีมิใช่ปล่อยเวลานานนับปีนั้น เห็นว่า เป็นเพียงความเข้าใจของจำเลยเองไม่สามารถนำมาฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ ส่วนที่จำเลยอ้างต่อไปว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยโอนที่ดินให้บุตร โจทก์ก็ไม่ได้ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างจำเลยกับนาย ท. แต่กลับมาฟ้องเป็นคดีนี้เพื่อบีบบังคับจำเลยนั้น เห็นว่า เป็นสิทธิของโจทก์ที่จะเลือกฟ้องจำเลยตามที่มีกฎหมายบัญญัติให้กระทำได้ การที่โจทก์เลือกใช้สิทธิฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยชอบ หาใช้เป็นข้อพิรุธแต่อย่างใดไม่ เมื่อข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่า จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทรวม 8 แปลง ให้นาย ท. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้โจทก์ซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลได้รับชำระหนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น....." พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3973/2551 |
การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ แต่เมื่อร้องทุกข์แล้ว พนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท มาด้วย ทั้งโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและศาลชั้นต้นอนุญาต ดังนี้ จึงมีความหมายโดยนิตินัยว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวและมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท ด้วย เท่ากับว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว ขณะจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองได้หย่ากันแล้ว ทั้งจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันว่าให้จำเลยที่ 2 ไปดำเนินการโอนที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ยังนำที่ดินไปจำนองด้วย แสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาโอนที่ดินไปเพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ประกอบกับคำว่าผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 350 หมายถึงบุคคลอื่นนอกจากตัวลูกหนี้ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์โอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้ซึ่งมิได้เป็นลูกหนี้ของโจทก์จึงเป็นการโอนทรัพย์สินไปให้แก่ผู้อื่นแล้ว ส่วนต่อมาโจทก์สามารถสืบหาติดตามทรัพย์สินนำมาบังคับคดีได้หรือไม่ เพียงใด เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามมาตรา 350 โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2542 พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลในความผิดฐานร่วมกันปลอมตั๋วเงินและเอกสารสิทธิ ใช้ตั๋วเงินและเอกสารสิทธิปลอม ร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง และเอาไปเสียซึ่งเอกสาร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 264, 265, 266, 268, 83, 91, 33 กับขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท แก่ผู้เสียหายซึ่งเป็นโจทก์ในคดีนี้ จำเลยที่ 1 ทราบคำฟ้องในวันที่มีการยื่นฟ้องแล้ว ส่วนโจทก์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2542 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี กับให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท แก่โจทก์ต่อมาวันที่ 19 สิงหาคม 2542 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิด คือ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ตำบลห้วยทราย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของจำเลยที่ 1 โดยมีเจตนาเพื่อมิให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมด หรือแต่บางส่วนซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระแก่โจทก์แล้ว โจทก์เพิ่งทราบว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิด เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2543 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 350 และให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8943/2542 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลให้ประทับฟ้อง จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ประกอบด้วยมาตรา 83 ลงโทษจำคุกคนละ 1 ปี โดยให้นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 8943//2542 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะจำเลยที่ 2 ให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยาของจำเลยที่ 2 โดยจดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่ปี 2531 ตามสำเนาใบสำคัญการสมรส เอกสารหมาย ล.3 ต่อมาวันที่ 8 มีนาคม 2542 ได้จดทะเบียนหย่ากันตามสำเนาใบสำคัญการหย่าเอกสารหมาย ล.2 ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการโจทก์ สาขาสนามเป้า จนถึงต้นเดือนมีนาคม 2542 โจทก์มีคำสั่งย้ายจำเลยที่ 1 ให้ไปประจำที่สาขาเตาปูน แต่จำเลยที่ 1 ไม่ไปและหลบหนี จากการตรวจสอบของโจทก์พบว่าในช่วงปี 2538 ถึง 2542 จำเลยที่ 1 ได้ลักเงินของโจทก์ไปหลายร้อยล้านบาท ในวันที่ 10 มีนาคม 2542 โจทก์จึงไปร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยที่ 1 ต่อมาในวันที่ 20 เมษายน 2542 เจ้าพนักงานอัยการยื่นฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลในความผิดฐานร่วมกันปลอมตั๋วเงินและเอกสารสิทธิ ใช้ตั๋วเงินและเอกสารสิทธิปลอม ร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างและเอาไปเสียซึ่งเอกสาร ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท แก่ผู้เสียหาย คือโจทก์ในคดีนี้ตามสำเนาคำฟ้องเอกสารหมาย จ.4 โดยโจทก์ในคดีนี้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวด้วย และในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ในวันที่ 24 สิงหาคม 2542 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท แก่ผู้เสียหายคือโจทก์ในคดีนี้ ตามสำเนาคำพิพากษาเอกสารหมาย จ.7 แต่ในวันที่ 19 สิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 ซึ่งมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินตามโฉนดที่ดิน ตำบลห้วยทราย อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของตนไปให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวตามสำเนาโฉนดที่ดินและสำเนาหนังสือสัญญาให้ที่ดินเอกสารหมาย จ.8 ถึง จ.10 สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ฎีกา คดีในส่วนจำเลยที่ 1 จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้กับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โจทก์มีนาย ส. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า ในต้นเดือนมีนาคม 2542 โจทก์มีคำสั่งให้ย้ายจำเลยที่ 1 ไปประจำที่สาขาเตาปูน แต่จำเลยที่ 1 ไม่ไปกลับหลบหนีและในขณะติดตามจับกุมจำเลยที่ 1 พยานได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีลักเงินโจทก์ไปดังกล่าว ต่อมาจำเลยที่ 2 มาพบพยานที่สำนักงานโจทก์ สาขาสนามเป้า 2 ครั้ง ครั้งแรกมาคนเดียวมาสอบถามข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดอย่างไร โจทก์เสียหายเท่าไร ครั้งที่ 2 มากับบิดาและญาติของจำเลยที่ 1 และเจรจาจะนำเงินมาชดใช้ให้โจทก์ ไม่ต้องการให้จำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดี จำเลยที่ 2 เองก็เบิกความยอมรับว่า เมื่อจดทะเบียนหย่ากันแล้วประมาณ 1 สัปดาห์ โจทก์ได้แจ้งจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทุจริตเอาเงินของโจทก์ไปใช้ส่วนตัว และโจทก์เรียกจำเลยที่ 2 ไปบอกว่าเงินที่จำเลยที่ 1 เอาไปจำนวนสามสิบล้านบาทและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้ไปตามบิดาของจำเลยที่ 1 มาเพื่อให้ชดใช้เงินดังกล่าวคืน ต่อมาวันที่ 20 เมษายน 2542 เจ้าพนักงานตำรวจโทรศัพท์แจ้งจำเลยที่ 2 ว่าจับจำเลยที่ 1 ได้แล้ว และขณะจำเลยที่ 1 ถูกควบคุมตัวระหว่างสอบสวนอยู่ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจ จำเลยที่ 2 ได้ให้น้าของจำเลยที่ 1 นำหนังสือมอบอำนาจไปให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อโดยจำเลยที่ 2 รู้แล้วว่าจำเลยที่ 1 ถูกจับกุมกรณีทุจริตเอาเงินของโจทก์ไป ประกอบกับได้ความตามคำเบิกความของจำเลยที่ 1 ว่า ขณะทำหนังสือมอบอำนาจนั้น จำเลยที่ 1 ถูกควบคุมตัวอยู่ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจโดยในขณะนั้นจำเลยที่ 1 รับสารภาพว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหาซึ่งในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ก็ทราบว่าจะต้องรับผิดคืนเงินแก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้ไปเยี่ยมจำเลยที่ 1 ที่กองบังคับการสืบสวนสอบสวนคดีเศรษฐกิจด้วย ดังนี้แม้จำเลยทั้งสองจะได้จดทะเบียนหย่ากันตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2542 แล้ว แต่กรณีเชื่อได้ว่าหลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ได้รับแจ้งข่าวคราวและทราบข่าวคราวของจำเลยที่ 1 ตลอดมา ที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยทั้งสองแยกกันอยู่ตั้งแต่ปี 2538 จำเลยที่ 2 ไม่ค่อยได้เจอจำเลยที่ 1 ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการงานของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดีดังกล่าวนั้น มีแต่จำเลยทั้งสองเบิกความลอยๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุน ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่มีน้ำหนักพอรับฟัง และแม้การร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนของโจทก์จะไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ตามที่จำเลยที่ 2 ฎีกา แต่ต่อมาในวันที่ 14 กรกฎาคม 2542 พนักงานอัยการก็ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 และได้ขอให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท มาด้วย ทั้งปรากฏว่าโจทก์ในคดีนี้ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวและศาลชั้นต้นอนุญาต ดังนี้ จึงมีความหมายโดยนิตินัยว่าโจทก์ในคดีนี้ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ในคดีดังกล่าวและมีคำขอให้บังคับจำเลยที่ 1 คืนหรือใช้เงินจำนวน 135,008,163.92 บาท ด้วย เท่ากับว่าโจทก์ในคดีนี้ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว และที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 โอนที่ดินในส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาแบ่งทรัพย์สินเนื่องจากการหย่าตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2542 ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี จำเลยที่ 2 ไม่มีเจตนายักย้ายทรัพย์เพื่อมิให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้นั้น ก็มีแต่จำเลยทั้งสองมาเบิกความ สำหรับหนังสือสัญญาแบ่งทรัพย์สินตามที่จำเลยทั้งสองเบิกความถึง จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้นำมาแสดงต่อศาลโดยอ้างว่าได้หายไปแล้ว ทั้งตามหนังสือมอบอำนาจระหว่างจำเลยทั้งสองดังกล่าวตามที่จำเลยที่ 2 ส่งศาลก็ระบุว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวได้ทำขึ้นในวันที่ 18 สิงหาคม 2542 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ได้ฟ้องร้องใช้สิทธิทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ดังกล่าวแล้ว ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 ข้อนี้จึงไม่มีน้ำหนักพอรับฟังเช่นกัน กรณีรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองทราบอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยที่ 1 ถูกดำเนินคดี กล่าวคือ โจทก์เจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิเรียกทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ แต่ในวันที่ 19 สิงหาคม 2542 จำเลยที่ 1 ก็ยังยกที่ดินส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 2 โดยทำสัญญาและจดทะเบียนยกให้ดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสของจำเลยทั้งสอง การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภริยาโอนที่ดินส่วนของตนให้จำเลยที่ 2 สามีถือกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียว ที่ดินดังกล่าวก็มิอาจหลุดพ้นความรับผิดในครึ่งหนึ่ง โจทก์เจ้าหนี้ยังคงบังคับคดียึดมาขายทอดตลาดได้ครึ่งหนึ่งดังเดิม โจทก์ยังได้รับชำระหนี้มิได้ทำให้โจทก์เสียหายนั้น เห็นว่า ขณะจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 นั้น จำเลยทั้งสองได้หย่ากันแล้ว ทั้งจำเลยทั้งสองก็ได้ตกลงกันว่าสำหรับที่ดินทั้งสองแปลงนี้ให้จำเลยที่ 2 ไปดำเนินการโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว ยังปรากฏว่าหลังจากนั้นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2543 จำเลยที่ 2 ได้นำที่ดินดังกล่าวไปจำนองด้วย ซึ่งส่อแสดงว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาโอนที่ดินดังกล่าวไปเพื่อมิให้โจทก์เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ประกอบกับคำว่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 หมายถึงบุคคลอื่นนอกจากตัวลูกหนี้ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์โอนที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ผู้ซึ่งมิได้เป็นลูกหนี้ของโจทก์จึงเป็นการโอนทรัพย์สินไปให้แก่ผู้อื่นแล้ว ส่วนต่อมาโจทก์สามารถสืบหาติดตามทรัพย์สินนำมาบังคับคดีได้หรือไม่ เพียงใดก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงครบองค์ประกอบความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 แล้ว กรณีรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้กับจำเลยที่ 1" พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 3,000 บาท อีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
============================================ |
รับ ทวงหนี้ ตามหนี้ เร่งรัดหนี้สิน โดยทีมงานเร่งรัดหนี้สินมืออาชีพ |
บริษัท สกายอินเตอร์เนชั่นแนลลีกัลจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้าน นักสืบเอกชนและกฎหมายแบบครบวงจร มีการให้บริการด้าน การ เร่งรัดหนี้สิน การ รับทวงหนี้ การติด ตามหนี้ สินค้างชำระ การเจรจา ประนอมหนี้ การเจรจาต่อรองการ ชำระหนี้ ทำหนังสือ รับสภาพหนี้ การ ปรับโครงสร้างหนี้ เป็นต้น โดยรับติดตามหนี้สินทุกประเภท ทั้งหนี้สินที่เกี่ยวเนื่องกับคดีแพ่ง เช่น การติดตามหนี้เงินกู้ การติดตามหนี้การค้างชำระค่าสินค้า การติดตามคนค้ำประกันเงินกู้ ทั้งประเภทที่มีสัญญาหรือเอกสารหลักฐานอื่นที่สามารถฟ้องร้องกันได้ตาม กฎหมาย หนี้นอกระบบ และประเภทที่ไม่มีหลักฐานในการฟ้องร้องกันได้ตามกฎหมาย และมูลหนี้ที่ไม่สามรถฟ้องร้องบังคับกันได้ตามกฎหมาย เช่น หนี้ที่เกิดจากการพนัน ( รวมถึงกรณีที่เป็นหนี้ที่ขาดอายุ ความ เช่น เช็คขาดอายุความ ) หนี้สินที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา เช่น คดีจราจร (รถชนกันได้รับความเสียหาย) คดียักยอก ฉ้อโกง ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ และความผิดอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้ต้องหาได้ รวมถึงการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับด้วย โดยทีมงานนักสืบและพนักงานเร่งรัดหนี้สินที่มีประสบการณ์และความชำนาญในการ เร่งรัดติดตามหนี้สิน (อ่านรายละเอียด)
============================================ |
กรณีที่ท่านมีความสงสัยหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อมาได้ที่ บริษัท สกายอินเตอร์เนชั่นแนลลีกัล จำกัด เลขที่ 725 อาคารเอส เมโทร ชั้น 20 ห้อง 174 ถนนสุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110 โทร 081-9151522, 090-0700080 email: skyinterlegal@gmail.com , ดูแผนที่ (คลิกที่นี่) |
|